ในวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา กรมประมง ได้จัดงานถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ เพื่อนำสู่การผลิตแบบแปลงใหญ่ “เปิดบ้านงานเด่น กพจ.” โดยมีนักวิชาการจากทั่วประเทศไทยมาเสนอสุดยอดผลงานวิจัย อีกทั้งยังมีการเสวนา ในหัวข้อเรื่อง “ทิศทางการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ” จากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน การจัดแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และยังมีผลิตภัณท์ประมงจาก 4 ภูมิภาค ที่หาซื้อได้ยาก มาจำหน่ายในงานนี้อีกด้วย
นายถาวร จิระโสภณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง เผยว่า งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ เพื่อนำสู่การผลิตแบบแปลงใหญ่ (เปิดบ้านงานเด่น กพจ.) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 28 สิงหาคม 2562 ณ ห้องประชุมอานนท์ และบริเวณโดยรอบอาคารโฮมเมอร์ สกอตต์ สวิงเกิล ภายในกรมประมง โดยกรมประมงมีภารกิจหลักในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดโดย มีหน้าที่ศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดและพรรณไม้น้ำจืด การจัดการฟาร์ม การส่งเสริมอาชีพ ตลอดจนการมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของเกษตรกรเพื่อพัฒนาแหล่งผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้านการเกษตรแบบครบวงจร กรมประมงจึงมีแนวคิดในการเผยแพร่งานวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ โดยการเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เกษตรกร และประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล สามารถนำองค์ความรู้ และนวัตกรรมใหม่ๆ ไปพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดอย่างยั่งยืน
Day: December 19, 2019
ชมงาน “มหกรรมสัตว์เลี้ยงแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15”
ยกระดับมาตรฐานสัตว์เลี้ยงไทย! เครือซีพี จับมือภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชนแ ละชมรมสัตว์เลี้ยงกว่า 50 องค์กร จัดงานครั้งใหญ่ประจำปี “มหกรรมสัตว์เลี้ยงแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15” โดยมุ่งหวังยกระดับมาตรฐานสัตว์เลี้ยงไทย และเพิ่มรายได้จากการส่งออก พร้อมไฮไลต์งานสุดพิเศษ โชว์ความสามารถที่หลากหลายของสุนัขทรงเลี้ยง และพบกับครั้งแรกของประเทศไทย กับการแข่งขันประชันเสียงอันไพเราะของนก “เลิฟเบิร์ด”
ในวันที่ 26 พ.ย. 2562 นายวัลลภ เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการดำเนินการงานมหกรรมสัตว์เลี้ยงแห่งประเทศไทย และ นายสารกิจ ถวิลประวัติ รองประธานคณะกรรมการฯ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดงานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสัตว์เลี้ยงแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15 ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค. 2562 ณ ตลาดกลางปลาสวยงามและสัตว์เลี้ยง (ฟิชวิลเลจ) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเราจะพบกับการจัดแสดงสัตว์เลี้ยง สัตว์แปลก สัตว์หายาก และงานประกวดสัตว์เลี้ยง เพื่อชิงถ้วยรางวัลพระราชทานอันยิ่งใหญ่ระดับประเทศ โดยมุ่งหวังว่า นี่จะเป็นเวทีช่วยพัฒนาวงการสัตว์เลี้ยงไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล และจะช่วยสร้างรายได้จากการส่งออกสัตว์เลี้ยงออกนอกประเทศ
ภาพตัวอย่างจากงาน
นักลงทุนอุตสาหกรรมปศุสัตว์ กว่า 45,000 คน ร่วมชมงาน วิฟ เอเชีย 2019
สำหรับงาน วิฟ เอเชีย 2019 ที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีผู้เข้าชมงานกว่า 45,000 รายตลอดสามวัน ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จในการจัดงานเป็นอย่างยิ่ง การันตีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา
งาน วิฟ เอเชีย นั้นเป็นงานที่แสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยี และงานสัมนาสำหรับอุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์น้ำ อันดับ 1 ของภูมิภาคเลยก็ว่าได้ ซึ่งยังครอบคลุมข้อมูลตั้งแต่ เมล็ดพันธุ์อาหารสัตว์ ไปจนถึงกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งสำหรับในปี 2019 ยังได้ก้าวไปอีกขั้้นหนึ่ง ด้วยจุดยืดที่แข็งแกร่งในด้านการดึงดูดนักลงทุนกว่า 120 ประเทศที่หลั่งไหลมาเข้าชมงาน ถือเป็นอัตราเติบโตสูงสุดถึงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับครั้งที่ผ่านมา แสดงให้เห็นได้ว่า นักลงทุนทั่วโลกนั้นได้ให้ความสำคัญ และให้ความเชื่อมั่นกับงานนี้เป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นงานที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมที่นักลงทุนหมายตา
“Bee Learning Center” ศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับผึ้ง แห่งแรกของเอเชีย ณ ม.เกษตรฯ
“Bee Learning Center” หรือ ศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับผึ้ง ตั้งอยู่ที่ บริเวณอาคารวิจัยกีฎวิทยา ด้านถนนวิภาวดีรังสิต อยู่ภายใต้ความดูแลของภาควิชา กีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกแบบอาคาร โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สรนาถ สินอุไรพันธ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัย แบบชั้นเดียว มีขนาดกะทัดรัด และมีการยกพื้นเพื่อให้มีพื้นที่ระเบียงใช้สอย ประตูบานใหญ่เปิดได้รอบ 3 ด้านของตัวอาคาร ในส่วนของหลังคา ทำช่องแสงธรรมชาติ เพื่อประหยัดพลังงาน และนอกจากนี้ ในส่วนของพื้นที่ใช้สอย สามารถยืดหยุ่นได้หลากหลายรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมศูนย์ การอบรม การประชุมขนาดเล็ก และยังเป็นสถานที่พบปะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับผึ้งด้วย
Bee Learning Center ศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับผึ้ง
เปิดทำการทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. และทุกวันพุธ เวลา 9.00-10.00 น.จัดกิจกรรมสาธิตการเลี้ยงผึ้ง
สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ติดตามได้ในปฏิทิน ศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับผึ้ง (Bee Learning Center) Fackbook: Bee learning หรือเวปไซต์ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เฝ้าระวัง “ด้วงงวงเจาะเมล็ดมะม่วง” หวั่นทำตลาดส่งออกพัง
นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ขณะนี้พบด้วงงวงเจาะเมล็ดมะม่วง หรือ Sternochetus olivieri (Faust) ซึ่งเป็นแมลงปีกแข็งที่จะกัดกินเมล็ดมะม่วง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกไปยังเกาหลีใต้ ในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 61 – 26 มิ.ย. 21 รวมทั้งสิ้น 12 ครั้งด้วยกัน ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นจำนานกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียว
กรมส่งเสริมการเกษตร จึงขอความร่วมมือเกษตรกรและผู้ส่งออกให้ตระหนักต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย
1. ผู้ส่งออกต้องซื้อมะม่วงจากเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP เท่านั้น
2. เกษตรกรต้องดำเนินการผลิตตามแนวทางเกษตรดีที่เหมาะสม GAP เน้นการป้องกันและควบคุมด้วงงวงเจาะเมล็ดที่ถูกต้อง
การป้องกันและกำจัด
1) วิธีเขตกรรม ให้ดูแลเก็บผลมะม่วงสุกที่ถูกด้วงเข้าทำลายหรือเผาทิ้ง ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง กำจัดวัชพืช และหมั่นทำความสะอาดแปลง
2) ทางเคมี พ่นสารเคมีอิมิดาคลอพริด อัตราส่วน 5 – 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และแลมป์ด้าไซฮาโลทริน อัตราส่วน 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์พริด 5.85 อัตราส่วน 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ พ่น ล้างต้นและลงดินเพื่อฆ่าตัวแก่ ในระยะมะม่วงเริ่มแทงช่อดอกควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช
3) การควบคุมด้วงงวงเจาะเมล็ดนอกแปลงปลูก เมล็ดมะม่วงที่โรงงานนำมาแปรรูปแล้ว ควรควบคุมด้วงงวงเจาะเมล็ดด้วยการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูมะม่วง
4) ผู้ส่งออกต้องตระหนัก และให้ความร่วมมือซื้อมะม่วงจากเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP เท่านั้น เพื่อลดปัญหาด้วงงวงเจาะเมล็ดกับมะม่วงที่ส่งออกไปยังปลายทาง
เอาใจคนรักหวาน สับปะรดสายพันธุ์ใหม่ “เพชรบุรี 2” คลอดแล้วจ้า
กรมวิชาการเกษตร ส่ง “เพชรบุรี 2” สับปะรดพันธุ์ใหม่ ลักษณะเด่น ผลทรงกระบอก แกนเล็ก ตาตื้น ช่วยลดการสูญเสียเนื้อเมื่อเข้าเครื่องปอก คุ้มแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง แถมค่าความหวานเฉลี่ยยังชนะพันธุ์ดั้งเดิมปัตตาเวียอีกด้วย
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยว่า สับปะรดเป็นผลไม้ที่สร้างมูลค่าการส่งออกให้กับประเทศไทย ปีละไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งงานวิจัยและพัฒนาส่วนมากที่ผ่านมา เน้นไปที่การเขตกรรม และการอารักขาพืช ทำให้พันธุ์สับปะรดที่ปลูกก็ยังคงเป็นสายพันธุ์เดิม ซึ่งปริมาณผลผลิตต่อไร่ โดยเฉลี่ยแล้ว อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งด้วยการปลูกพันธุ์เดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการกลายลักษณะที่ไม่พึงประสงค์มากยิ่งขึ้น
สับปะรดพันธุ์ใหม่ โดนใจอุตสาหกรรมแปรรูป
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า การคัดเลือกสายต้นเป็นแนวทางการปรับปรุงพันธุ์วิธีการหนึ่งที่ใช้ระยะเวลาสั้น จึงได้ทำการคัดเลือกสายต้น โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ ที่ให้ผลผลิตที่ไม่น้อยลง และมีลักษณะที่เหมาะสมต่อการนำไปแปรรูปตามความต้องการของโรงงาน ซึ่งได้แก่ ผลมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ตาตื้น แกนผลเล็ก เพราะจะทำให้ได้เนื้อสำหรับการแปรรูปสูง มีอัตราการสูญเสียเนื้อต่ำ
จึงได้ดำเนินการคัดเลือกสายต้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตไม่น้อยกว่าพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า และมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการแปรรูปตรงตามความต้องการของโรงงาน ได้แก่ ผลมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ตาตื้น แกนผลเล็ก เพื่อให้ได้ปริมาณเนื้อสำหรับแปรรูปสูง และมีอัตราการสูญเสียเนื้อต่ำ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ได้เริ่มดำเนินการวิจัยและปรับปรุงสายพันธุ์เมื่อปี พ.ศ. 2534 และประสบความสำเร็จได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ผ่านการพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี พ.ศ. 2562 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2” โดยมีลักษณะเด่น คือ
1. มีอัตราส่วนน้ำหนักเนื้อต่อน้ำหนักผลเฉลี่ยเท่ากับ 0.29 ซึ่งสูงกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย
2. แกนผลเล็ก
3. ตาตื้น ความลึกตาเฉลี่ย 0.73 – 0.81 ซม.
4. มีผลทรงกระบอกซึ่งเหมาะสำหรับการบรรจุกระป๋อง
5. ค่าความหวานเฉลี่ย 13.9 – 17.9 องศา บริกซ์
สกสว. จับมือ มูลนิธิข้าวไทยฯ เกื้อหนุนชาวนาไทย ให้ก้าวไกลในยุคดิจิทัล
ในวันที่ 16 ธ.ค. 2562 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และภาคีองค์กรพันธมิตร จัดการประชุมเวทีข้าวไทย ปี 2562 หัวข้อเรื่อง “การปรับตัวของชาวนาไทยสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ห้องประชุมสุธรรมอารีกุล อาคารสารสนเทศ 50 ปี ผู้กล่าวเปิดงาน คือ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิข้าวไทยฯ โดยวัตถุประสงค์การจัดอบรมครั้งนี้ คือเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเพื่อหาความร่วมมือในการกำหนดทิศทาง รวมทั้งสร้างยุทธศาสตร์เศรษฐกิจข้าว และชาวนาไทย ภายใต้ฐานเศรษฐกิจยุคดิจิทัล
การประชุมครั้งนี้ ได้มีการเสวนา และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ในเรื่องการปรับตัวของชาวนาไทย จากชาวนาไทยมืออาชีพ ซึ่งมาถ่ายทอดประสบการณ์จากการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลสำเร็จ อาทิเช่น การใช้โดรน การใช้แอพบนมือถือ หรือระบบเซ็นเซอร์เพื่อทำการตรวจวัด ควบคุม ถ่ายภาพ และวิเคราะห์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ให้กับชาวนา ทำให้ชาวนาไทย ก้าวไกลสู่การเป็น “Smart Farmer” ได้
นอกจากนั้น ทางสกสว. ยังได้มีการแนะนำแอพบนมือถือเพื่อชาวนา นั่นคือ
1. ไลน์บอทโรคข้าว
ซึ่งพัฒนาโดยการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการวินิจฉัยและให้คำแนะนำการควบคุมโรคข้าว
2. คลินิกข้าว RD
กลุ่มไลน์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ชาวนาได้เข้าถึงเทคโนโลยี ที่ช่วยป้องกัน และกำจัดศัตรูข้าว และบริการตอบปัญหาต่างๆเกี่ยวกับข้าว
3. รีคัลท์
แอพพลิเคชั่นพยากรณ์ฝนที่แม่นยำ
สุดยอด! ผลวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่มสับปะรดราชบุรี 23 เรื่อง โดยราชภัฏจอมบึง
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 มีการเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับ แผนงานวิจัย เรื่องการบูรณาการการพัฒนาปัจจัยการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการบริหารจัดการ การตลาดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดราชบุรี โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดยมี นาย วิสาห์ พูลศิริรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานในพิธี และ ผศ.ดร. ชัยฤทธิ์ ศิลาเดช รักษาราชการแทนอธิการบดี ผศ.ดร.ชฎาพร โพคัยสวรรค์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา และคณะอาจารย์ นักวิจัย ร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอผลงานวิจัย
โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาปัจจัยการผลิต
โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาปัจจัยการผลิต จำนวน 7 เรื่อง ได้องค์ความรู้และนวัตกรรม ดังนี้
1) การขยายสายพันธุ์สับปะรด MD2 ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อ การแคะหน่อและการตัดดอก
2) การบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต
3) สูตรปุ๋ยที่เพิ่มความหวานให้สับปะรด
4) การใช้ภูมิปัญญา ท้องถิ่นเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและลดระยะเวลาการปลูก
5) การจัดการหน่อพันธุ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต
6) เว็บแอพลิเคชั่นสำหรับวางแผนการผลิตและการตลาดเพื่อพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดราชบุรีสู่ การเป็น smart farmer และ
7) เว็บแอพลิเคชั่นวัดความหวานผ่านสมาร์ทโฟน
โครงการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
โครงการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จำนวน 11 เรื่อง ได้องค์ความรู้และนวัตกรรม ดังนี้
1) ความเป็นไปได้ เชิงพาณิชย์ของการผลิตวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากสับปะรด
2) ผลิตภัณฑ์สบู่เอนไซม์สับปะรด
3) ผลิตภัณฑ์ผงบำรุงฟัน Bromedent
4) ผลิตภัณฑ์ผงขัดตัว
5) ผลิตภัณฑ์ เจลให้พลังงานสูงสำหรับสับปะรด
6) ผลิตภัณฑ์ไซรัปสับปะรด
7) กล้าเชื้อแบคทีเรียสำเร็จรูปชนิดผงสำหรับ ผลิตน้ำไซเดอร์
8) วัตถุดิบอาหารสัตว์
9) ตราสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น
10) บรรจุภัณฑ์เล่าเรื่อง
11) ถุงพลาสติกชีวภาพยืดอายุสับปะรด
โครงการวิจัยเพื่อบริหารจัดการการตลาด
โครงการวิจัยเพื่อบริหารจัดการการตลาด จำนวน 5 เรื่อง ได้องค์ความรู้และนวัตกรรม ดังนี้
1) ความต้องการซื้อสับปะรดผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป
2) ช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยเว็บไซต์พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์
3) ช่องทางการจำหน่ายด้วยแพลตฟอร์มสมัยใหม่ต้นทุนต่ำ
4) ช่องทางการจำหน่ายแบบ ออฟไลน์
5) รูปแบบการบริหารจัดการการขาย นอกจากนี้ยังได้พัฒนาฐานข้อมูลสับปะรดจังหวัดราชบุรีในรูปแบบของ web interface เพื่อสนับสนุนการวางแผนการผลิตสับปะรดของจังหวัดราชบุรี